วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2559

A space you can say anything you cannot say anywhere else

Hey there stranger who's reading this post from another stranger.
Do you have anything you want to say but you really can't in public or your space?
If you do, why don't you say it out loud here? I don't know you, you don't know me, so I won't judge of what you say. Just type whatever on your mind that made you feel better, anything...

ถ้าคุณกำลังอ่านโพสท์นี้อยู่ ขอทักทายคุณคนแปลกหน้า จากคนแปลกหน้าอีกคน
อยากหาพื้นที่ระบายอะไรรึเปล่า ถ้ามีอะไรอึดอัดคับข้องใจก็สามารถพิมพ์อะไรที่อยากพูดลงมาได้เลย
มันคงไม่ดีหรอกถ้าจะเก็บเอาไว้คนเดียว มันไม่สนุกเลยด้วย ถ้าพื้นที่เล็กๆ ตรงนี้สามารถช่วยคุณให้พูดอะไรที่อยากพูด ให้อารมณ์ดีขึ้น สบายใจขึ้นซักนิดนึง พื้นที่ตรงนี้ก็ยินดีนะ

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Book Review: Red Rising by Pierce Brown

หนังสือเล่มนี้ได้มาเมื่อวันที่ 3 ก.ค. อ่านจบ 19 ก.ค.
ภาพรวมหนังสือเล่มนี้ อาจจะออกแนว คล้ายๆ กับ Hunger Games มีสนามรบ แต่ไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว ด้วยแรงผลักดันของตัวละครมันต่างกัน
ถ้าแคทนิสสู้เพื่อการเอาชีวิตรอดจากเกม แดร์โรวจะมีแรงผลักด้วยการ แก้แค้น

สรุปโคตรๆคือ
เรื่องราวของเด็กหนุ่มวัย 16 ที่อยู่ชั้นล่างสุดของพิรามิดที่มีความแค้นที่จะเปลี่ยนแปลงระบบสังคมบนดาวอังคารใหม่หลังการสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไปด้วยการปลอมตัวเข้าไปเป็นชนชั้นปกครองเพื่อเป็นขั้นแรกในการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงบนดาวอังคาร

สรุปเรื่องย่อๆ(ที่ไม่ค่อยย่อ) [สปอยบางส่วน]
ฉากของเรื่องนี้คือดาวอังคารในอนาคต (ที่คิดว่าคงอีกไกล) มนุษย์ออกจากโลกมาอยู่บนดาวอังคาร มีการปกครองแบ่งแยกกันด้วย สี มีชนชั้นต่างๆ แต่ละสีก็จะมีหน้าที่แตกต่างกันไป
สีที่อยู่สูงสุดของพีระมิดคือ Gold สีทอง เป็น Ruler ผู้ปกครอง ในขณะที่สีแดง Red เป็นชนชั้นต่ำสุด มีหน้าที่เป็นพวก Labor/Minor กรรมกรและคนเหมือง ผู้เขียนเล่าเรื่องผ่านตัวละครบุคคลที่ 1 (First-Person Narrative) คือตัว Darrow แดร์โรว หนุ่มน้อยสีแดงแห่งเผ่า Lycos อายุ 16 ปี พวกสีแดงพวกนี้ถูกปลูกฝัง (ถูกหลอกนั่นล่ะ) ว่าพวกตนนั้นเป็นเหมือนความหวังของมนุษยชาติ ในการขุดเหมือง หาแร่ และทำการปรับเปลี่ยนสภาพดาวอังคารให้สามารถอาศัยได้ (Terraforming) แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆแล้ว ดาวอังคารแห่งนี้มัน terraforming มาหลายร้อยปีแล้ว ในบรรดาเผ่าต่างๆของสีแดง ก็จะมีการจัดการแข่งขันกันระหว่างเผ่า เรียกว่า Laurel แข่งขันกันว่าใครจะเป็นผู้ที่ขุดเหมือง หาแร่อะไรได้มากกว่ากัน แล้วผลกลายเป็นว่า ไลคอส แพ้ให้แก่ แกมม่า เป็นประจำ แฟนสาวของแดร์โรว(จริงๆมันคือภรรยา ในหนังสือใช้คำว่า wife) ชื่อ อีโอ พาเขาไปที่ช่องทางหนึ่งซึ่งเธอค้นพบ เหมือนเป็นทางออกไปสู่โลกภายนอก ที่มีต้นไม้ มีท้องฟ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่สีแดง ไม่มีวันได้เห็นเลยตลอดทั้งชีวิต อีโอพยายามจะบอกแดร์โรวว่าพวกเข่ก็มีสิทธิ์ในการอยู่บนนี้ไม่ต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ แต่แดร์โรวก็ยังไม่ได้เชื่อไปซะทีเดียว พอ 2 คนนี้กลับมาจากช่องทางนี้ก็ถูกจับได้ ถูกนำตัวไปลงโทษ โดยที่มี ArchGoverner Nero au Augustus ผู้ปกครองสูงสุด มาดูการลงทัณฑ์นี้ด้วยตัวเอง การลงโทษขั้นแรกคือการเฆี่ยน ต่อมาคือการจับแขวนคอ.. อีโอถูกแขวนคอก่อน แดร์โรวที่ยังพอมีเวลาเหลือเล็กน้อยนำร่างของอีโอไปฝังที่ต้นไม้ที่ทั้งสองแอบหนีไป (มีกฎว่า คนที่ถูกแขวนคอจะถูกปล่อยร่างทิ้งไว้อย่างนั้นจนกว่าจะเน่าเป็นกระดูกไปแล้วจึงเอาลง) จากนั้นแดร์โรวเองก็รับโทษตามอีโอ คือถูกแขวนคอเช่นกัน
แต่มันยังไม่จบ แดร์โรวได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่ม Sons of Ares นำโดย Dancer แดนซ์เซอร์ เป็นกลุ่มที่ต้องการทำการกบฏต่อรัฐบาล (rebellion) พวกเขาพาแดร์โรวไปดูความจริงที่ถูกปกปิดกับพวกสีแดง (จริงๆยังมีการแบ่งเป็น HighRed กับ LowRed พวกhighยังอยู่ข้างบนได้แต่ก็คือชนชั้นล่าง ส่วนLowอย่างพระเอกไม่รู้ความจริงใดๆอยู่แต่เบื้องล่าง) แดร์โรวเคียดแค้นพวกสีทองที่ทำให้ภรรยาของตนต้องตาย เลยยอมลงทุนชุบตัว เปลี่ยนแปลงร่างกายให้ตัวเองกลายเป็นสีทอง (ทำโดย มิคกี้ พวกสีม่วง เหมือนการศัลยกรรมนั่นแหละ แต่โหดกว่า) ตั้งแต่เพิ่มความแข็งแกร่งของกระดูก ลบรอยแผล ปรับเปลี่ยนแทบทุกอย่าง ควักลูกตาออก(ผ่าตัดออก)เปลี่ยนให้เป็นตาของพวกสีทอง เปลี่ยนเครื่องหมายสีที่มือ และอื่นๆ เมื่อเขาพร้อม เขาก็ทำการปลอมตัวเข้าไปสู่ โรงเรียนของพวกสีทอง (ยังก้ะไปฮอกวอตส์งั้นละ) แดร์โรวผ่านการคัดเลือกเข้าสู่บ้าน Mars (ผู้แต่งเอาชื่อเทพโรมันมาใช้แทนชื่อบ้าน) มีการต่อสู้กันระหว่างบ้าน เพื่อนำไปสู่ชัยชนะของบ้านของตน มีการโกง ความ่วยเหลือจากผู้ดูแลต่างๆเข้ามา แดร์โรวจะเอาชีวิตรอดบนสนามรบระหว่างสีทองได้หรือไม่ อันนี้คงต้องตามกันดู


อ่านภาษาอังกฤษเรื่องนี้ อาจจะ งง กันเล็กน้อย ด้วยการที่มีศัพท์แปลกๆออกมาเยอะ แล้วไม่ได้ปู vocab เอาไว้ อย่างเช่น
GravBoot โห.. อะไรว้า อ่านไปถึงจะเข้าใจว่าแบบ เป็นรองเท้าที่ควบคุมบรรยากาศ ใส่แล้วสามารถเหาะได้ อะไรก็ว่าไป
เลยต้องทนอ่านกันซักนิดนึง นอกจากนี้ เรื่องนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องชนชั้นเพียงอย่างเดียว เพราะที่สัมผัสได้ มันเป็นเรื่องแบบที่ว่า การเป็นผู้ปกครองที่ดี ที่ไม่ใช่แนว Tyrant เพียงอย่างเดียว คือจะมีสอดแทรกอะไรลึกไปกว่านั้น 
ช่วงหลังๆจะบู๊เยอะหน่อย แล้วก็เลือดสาด ผู้ดูแลแต่ละบ้าน บางคนมีชื่อเหมือนเทพโรมันด้วยเหมือนกัน คอยดูเกมการแข่งขันอยู่ที่เมืองบนฟ้า เรียกว่า Olympus กันเลยทีเดียว (แหม คุ้นๆนะ) คนเรียน Western Culture มาอย่างเราๆท่านๆคงรู้จักดี
คำพูดติดปากของเรื่องนี้ คือ Bloodydamn ของพวกสีแดง ส่วนพวกสีทองจะเป็น Gorydamn
เหมือนกัดจิกเล็กๆ เวลาพวกสีทองพูดกัน แล้วจะมีลงท้ายให้คู่สนทนาว่า goodman

ปล. หนังสือชุดนี้มี 3 เล่ม Red Rising เป็นเล่มแรก เล่มต่อไป Golden Son จะออกในเดือนมกรา 2015

วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Book Review: Fangirl Rainbow Rowell

Review วันนี้จะลองมารีวิวหนังสือแนวใสๆที่ชื่อว่า Fangirl เขียนโดย Rainbow Rowell


เรื่องนี้ตัวละครหลักๆจะอยู่ในช่วงวัยรุ่น scope ที่ช่วง มหาวิทยาลัย

เรื่องย่อ
Cath กับ Wren (อ่านว่า เร็น) เป็นฝาแฝดกัน ทั้งคู่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่เดียวกัน Cath อยากจะอยู่หอพักเดียวกับ Wren แต่คุณแฝดดันบอกว่า อยากพบอะไรใหม่ๆบ้าง ทำให้ Cath จะต้องไปแชร์ห้องกับคนอื่น ซึ่ง Roommate ของสาวน้อยคือ Reagan รุ่นพี่สุดเซี้ยว 
ตัว Cath เป็นเหมือนพวกเก็บตัว ออกแนวเนิร์ดๆ และหลงรักหนังสือนิยายชุด Simon Snow (หนังสือเรื่องนี้ อารมณ์เดียวกับ Harry Potter) [และเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นในเรื่องนี้เท่านั้น] เธอหลงรักขนาดเขียน "แฟนฟิคชั่น" ด้วยตัวเองเลยทีเดียว
เมื่อ Cath ต้องปรับตัวเข้ากับสถานที่ใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ พบเจอผู้คนใหม่ๆ เธอจะทำอย่างไร ทั้งรูมเมทสาวแก่นเซี้ยว แฟนหนุ่ม(?)ของรูมเมทที่มาสิงในห้องสาวน้อยอย่างกับห้องตัวเอง รุ่นพี่ที่เรียนวิชาหนึ่งด้วยกัน ความสัมพันธ์ของครอบครัว สายสัมพันธ์ของพี่น้อง(ฝาแฝด) อันนี้เราจะไม่เปิดเผยเนื้อหา ให้ท่านลองไปหาอ่านเอาเอง

Comment ส่วนตัว
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เรื่องนี้ออกแนวใสๆ และสิ่งที่ดีอย่างหนึ่งคือเรื่องนี้เขียนด้วยภาษาเขียน ภาษาพูดง่ายๆ ทำให้อ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อนอะไรมากนัก ถึงอ่านไปอ่านมาจะมี F Word โผล่มาเป็นพักๆก็ตาม ถ้าใครอยากอ่านนิยาย Simon Snow ผู้เขียนเองก็สอดแทรกนิยายมาให้อ่านเล่นๆเป็นพักๆ รวมถึงแฟนฟิคที่ตัวนางเอกเขียนเองก็มีให้อ่านเหมือนกัน ถามว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไร คงต้องบอกว่า ก็เป็นเรื่องที่น่ารักเรื่องหนึ่ง ความรักของวัยรุ่น [ที่ให่ท่านไปติดตามอ่านกันเอง] ความคิดความอ่านของวัยรุ่น การแสดงออกต่างๆของตัวละคร ถือว่าสนุกดีในระดับหนึ่ง ใช้เวลาอ่าน 400 กว่าหน้าประมาณ10กว่าวัน คำศัพท์คำไหนที่แปลไม่ออก บางทีก็ข้ามบ้าง แล้วค่อยลองไปหาดิกเอาทีหลัง เพราะไม่งั้น เราจะอ่านช้ามาก ต้องมานั่งกดดิกตลอดเวลา ส่วนมากก็จะสามารถเก็บใจความได้ครบอยู่แล้ว

ใครสนใจสามารถลองเดินหาหนังสือเล่มนี้ได้จากร้านขายหนังสือต่างประเทศอย่าง Kinokuniya หรือ Asiabook มีทั้งปกอ่อนและปกแข็ง [ส่วนตัวข้าพเจ้าซื้อปกแข็งมา เหมาะกับการอ่านเป็นอย่างมาก]

Book Trailer#1




Book Trailer#2




Enjoy Reading!!


วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

Life is like a maze

ชีวิตก็เหมือนกับเขาวงกตนั่นแหละทุกท่าน

เพราะชีวิตของคนเราคงไม่เป็นเส้นตรงแน่วให้มนุษย์เดินตรงเพียงอย่างเดียว เรามองว่าชีวิตก็เหมือนเขาวงกตที่ซับซ้อน วกวน น่าเวียนหัวและยุ่งยาก เพราะนี่คือชีวิตอย่างไรเล่า

เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอทางตัน เราก็แค่ต้องถอยกลับมา ย้อนพิจารณาสิ่งที่เกิด แล้วมุ่งหน้าเดินทางอื่นต่อไป คนที่เจอทางตันแล้วท้อถอยหยุดเดินไปเฉยๆก็มี แต่ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป เมื่อใดที่คิดได้ ใช้สติปัญญาไตร่ตรอง ปัญหาใดๆก็จะมีทางออกเสมอ

เช่นเดียวกับเมื่อเราหลงทางไปทางใดซักทางหนึ่ง หากตระหนักรู้ได้ว่าทางที่เดินมานั้นผิด หรือคิดจะเปลี่ยนเส้นทาง ก็จงทำเสียอย่างใจต้องการ การล้มเหลวจะเป็นประสบการณ์ฟูมฟักให้เกิดความสำเร็จในอนาคต หากเรานำความล้มเหลว ผิดพลาดมาเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่ทางออกที่ดีกว่า

เขียนบล็อกเพื่อบ่นๆแบบไม่มีแก่นสารไปวันๆ สร้างตัวตน บุคลิกใหม่ขึ้นมาอีกหนึ่ง เดินผ่านเขาวงกตชีวิตที่คดเคี้ยว ซักวันจะถึงวันที่เป็นของเรา

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

Personality

ตัวตนใหม่ ณ สถานที่แห่งใหม่

ตั้งแต่ที่โลกโซเชียลค่อยๆฝังรากลึกในจิตวิญญาณของมนุษย์ [ส่วนตัวเราก็คือเริ่มจากการสร้างตัวตนในMSN] เราสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่มากมายนับไม่ถ้วน อย่างเช่นMSNที่ได้กล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ก็คงมี Hi5 Facebook Twitter Instagram SocialCam Tumblr และอื่นๆอีกมากมาย

ตัวตนเหล่านี้ เกิดขึ้นมา และสุดท้ายก็มีเวลาที่จะดับสูญไปเช่นเดียวกับมนุษย์ เมื่อไรที่เราเลิกใช้บริการนั้น นั่นละคือวาระสุดท้ายของตัวตนนั้น

สังคมทุกวันนี้ เรามีตัวตนใหม่กันไม่ต่ำกว่า 1 ทั้งนั้น ความรู้สึกเหมือนในบางครั้ง เราเหงากันรึเปล่า เราจึงต้องสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมา หาเพื่อนใหม่ หาcommunity ติดตาม และเกาะกระแส เพื่อที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้นๆ เมื่อเป็นส่วนหนึ่ง เราก็จะได้หลงลืมความเหงากันไปชั่วคราว แต่เมื่อไหร่ที่ความนิยมตกลงไป ไม่มีความเคลื่อนไหวหรือ Notification ใดๆ เราก็กลับมาเหงากันอีก

บล็อกนี้ เปิดให้ทุกท่าน ทั้งขาจร ขาประจำ แสดงความคิดเห็นและมุมมองของท่านที่อาจแตกต่างจากเรา ใครเห็นตรงเห็นต่างอย่างไรก็สามารถแสดงทัศนคติของท่าได้ตามสะดวก